Monday, March 1, 2010

Alessandro Scarlatti


Alessandro Scarlatti เกิดเมื่อวันที่ 2 May 1660 และสิ้นชีวิตเมื่อ 24 October 1725 เป็นนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน อยู่ในช่วงระหว่างยุคบาโรค (1600-1750) ที่มีชื่อเสียงมาจากการประพันธ์โอเปร่า (opera) รวมไปถึง cantata และถือว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งโอเปร่าของสำนัก Neapolitan และเป็นบิดาของนักประพันธ์ที่ชื่อว่า Domenico Scarlatti (1685 - 1757) และ Pietro Filippo Scarlatti (1679 –1750)

Alessandro Scarlatti เกิดที่เมือง Palermo เมื่อครั้งยังเด็กเขาได้ศึกษากับ Giacomo Carissimi ที่กรุงโรม (Rome) ซึ่งผลงานชิ้นที่สำคัญในระหว่างที่อยู่กรุงโรมคือโอเปร่าเรื่อง Gli Equivoci nell sembiante (1679) ทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็น Maestro di Cappella ของราชินี Christina ของสวีเดน (ได้อาศัยอยู่ที่กรุงโรมระหว่างนั้น) และเรื่องที่สอง L’honesta negli amori ในปีถัดมา ประกอบไปด้วยบทร้องที่มีชื่อเสียง Già il sole dal Gange, Il Pompeo, O cessate di piagarmi และ Toglietemi la vita ancor เป็นต้น บทร้องเหล่านี้มีท่วงทำนองของ Recitative และบทร้องที่อ่อนหวาน ที่มีเครื่องสายเล่นประกอบหรือร้องกับ Continuo และการผูกโครงเรื่องอย่างประณีต

และต่อมาก็ที่เมือง Naples บางทีเขาเองอาจจะได้รับอิทธิพลจากพี่สาวของเขาที่เป็นนักร้องโอเปร่า จึงทำให้เขาเองประพันธ์โอเปร่าได้อย่างไพเราะ

ในปี ค.ศ. 1702 Scarlatti ได้ย้ายออกจากเมือง Naples และหลังจากในปี 1707 ที่เมือง Venice และ Urbino ก็ได้กลับมาทำงงานที่ Naples เหมือนเดิม และในระยะเวลาต่อมาก็ได้ทำอุปรากรเรื่องTelemaco (1718), Marco Attilio Regolò (1719) และ La Griselda (1721) ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี

เขาได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง "Italian overture" ในปี ค.ศ.1686 ที่แสดงถึงแนวคิดในการละทิ้งเบส

(ground bass)และ บทร้องแบบ 4 ทำนองไปเป็น 2 ทำนอง หรือแบบ da capo โอเปร่าที่ดีสุดของเขาในยุคนี้คือ La Rosaura (1690) และ Pirro e Demetrio (1694) มีบทร้อง Aria ที่สำคัญคือ Le Violette และ Ben ti sta, traditor เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เขาย้ายมาอยู่ Naples ในขณะนั้นเป็นเมืองศูนย์กลางของอุปรากรและเป็นเมืองแห่งดนตรี เขาได้ประพันธ์ผลงานที่นอกเหนือจากอุปรากร เช่น Catata, Oratorio, Serenata และอื่นๆอีก ผลงาน Il Pirro e Demetrio นั้นได้ออกแสดงในเมืองต่างๆหลายคร้ัง ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับเขาเป็นอย่างมาก และ อุปรากรเรื่องสุดท้ายของเขาคือ La Griselda

ในปี 1697 ผลงานการประพันธ์ในบางส่วนคาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจาก Giovanni Bononcini (1670-1747 นักเชลโล่และนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียนในยุคบาโรก) และโอเปร่าของเขาก็มีรูปแบบของจังหวะเรียบง่ายมากขึ้น แต่ตรงกันข้ามกับตัวโน้ตที่ไม่ชัดเจน เครื่องโอโบและทรัมเปตถูกทำนาใช้บ่อยมากขึ้น พร้อมทั้งเล่นแนวเดียวกันกับไวโอลิน

ผลงานการประพันธ์โอปร่าชุดสุดท้ายของเขาได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่ชัดเจนมากขึ้น ตัวโน้ตชัดเจนมาก รวมไปถึงจังหวะที่มีความสัมพันธ์กับอารมณ์และความรู้สึก โดยการใช้เพลงคั่นเข้ามาประกอบ อันเป็นเทคนิคที่เขานำมาใช้เป็นคนแรก และการใช้ Horn ในวง Orchestra เพื่อเพิ่ม effect และผลงานการประพันธ์ chamber-cantatas สำหรับร้องเดี่ยวกว่า 500ชิ้น และบทเพลง mass อีกกว่า 200 ชิ้น ผลงานเอกอย่าง St Cecilia Mass (1721) ของท่านยังส่งอิทธิพลต่อ Mass ของ Bach และ Beethoven อีกด้วย

สิ่งสำคัญที่ Alessandro Scarlatti ได้พัฒนาและส่งอิทธิพลต่อคือ การละทิ้งพื้นเบส (ground bass), Da Capo Aria ซึ่งมีโครงสร้างแบบ ABA และ Italian Overture มี 3 ท่อนคือ เร็ว-ช้า-เร็ว เป็นรูปแบบบทประพันธ์ที่สำคัญของเพลงบรรเลง


No comments:

Post a Comment